altered carbon เรื่องย่อ อดีตยังคงตามหลอกหลอน ทาเคชิ โคแวช เอนวอยคนสุดท้าย ซีซันนี้เขาต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นอย่างดาวฮาร์แลนด์เวิลด์ เพื่อตามหาร่องรอยของอดีตคนรักอย่าง เคล ที่เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือเขาต้องเข้าไปพัวพันกับสงครามระหว่างผู้ปกครองและกลุ่มปฏิวัติในยุคปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนยังมีความลับซ่อนอยู่ใต้พรมอีกมากมายให้เราติดตามเปิดเผยเช่นเคย ความสำเร็จของซีรีส์แนวไซเบอร์พังก์ซีซันแรกเมื่อปี 2018 จากการดัดแปลงหนังสือชื่อเดียวกันในปี 2002 ของนักเขียนชาวอังกฤษนาม ริชาร์ด เค. มอร์แกน ซึ่งก็ได้กลิ่นอายที่แตกต่างจากหนังที่กลับมาบูมในช่วงใกล้กันอย่าง Blade Runner 2049 (2017) แต่มีพลอตตั้งต้นที่แตกต่างกันก็ทำให้กลุ่มแฟนไซไฟสายไซเบอร์พังก์สนอกสนใจกับซีรีส์อย่าง Altered Carbon อยู่ไม่น้อย และสำหรับใครที่ไม่เคยดูภาคแรกก็ขอเล่าเพียงเล็กน้อยประกอบการรีวิว ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ดูซีซันแรกก่อนด้วย
โจเอล คินนาแมน ในบทบาท ทาเคชิ โคแวช ในซีซันแรก
altered carbon
altered carbon ในซีซันแรกตัวซีรีส์จึงมีความผสมผสานในแบบไซเบอร์พังก์ โลกอนาคตที่ฟุ้งเฟ้อในกลุ่มชนชั้นสูงที่อาศัยบนนครลอยฟ้าแตกต่างราวกับเหวในสังคมเดินดินที่พังทลาย ในขณะเดียวกันเนื้อหาก็เป็นไปในแบบนัวร์ฟิล์มที่พระเอกเป็นคนบุคลิกสีเทาไม่แคร์สิ่งใดหรือใครที่ผูกพันเลยเพราะกลุ่มปฏิวัติที่เขาเคยอยู่เชื่อว่าการมีเวลาตายคือคุณสมบัติที่รักษาความเป็นมนุษย์ของเราไว้ โคแวชจึงต่อต้านการรับใช้เมธที่มีอมตะแต่สุดท้ายสถานการณ์ต่าง ๆ ก็บีบเขาให้ทำงานนักสืบนี้จนได้ และในเรื่องหลักก็เดินไปพร้อมเส้นเรื่องรองที่ซับซ้อนหลายเส้น ทั้งครอบครัวแบรนครอฟต์ที่แต่ละคนก็มีปมประหลาด ตำรวจสาวที่มีอดีตกับเปลือกที่โคแวชสวมใส่อยู่ นักฆ่าไร้เงาที่กล้องไม่อาจบันทึกตัวได้ผู้รับใช้องค์กรใต้ดินขนาดใหญ่ที่เข้าไปโปรยความตายในทุกที่ทุกคนที่โคแวชไปเยือน ซึ่งปัญหาสำคัญในซีซันแรกเลยก็คือเส้นเรื่องต่าง ๆ ที่ชวนสับสน แม้พอจะเข้าใจว่าสุดท้ายน่าจะไปขมวดรวมเกี่ยวข้องกันในท้ายสุดแต่การเดินทางระหว่างนั้นก็ชวนสับสนในข้อมูลมากเช่นกัน ส่วนข้อดีก็คือบรรยากาศของเรื่อง โพรดักชันที่รสนิยมดูดีมาก ๆ และการสร้างตัวละคร/นักแสดงที่ดีน่าติดตาม
การจัดแสง ศิลป์ สี สถาปัตยกรรม ทุกอย่างลงตัวสวยงามมากแม้แต่ในสังคมชั้นล่างของเมืองก็ยังดูทรามแต่สวย สำหรับซีซัน 1
มาถึงในซีซันที่ 2 นี้ เนื้อเรื่องได้ไปจับประเด็นเรื่องในอดีตของโคแวชที่เป็นปมใหญ่ของตัวเขาเองเป็นหลัก ทั้งการกลับไปดาวบ้านเกิดอย่างฮาร์แลนด์เวิลด์ที่เขาหนีจากมาตั้งแต่เด็ก การกลับไปเผชิญหน้าทหารซีแทคกลุ่มที่เคยตามจับเขาสำเร็จ ตลอดจนการกลับไปหาร่องรอยของเคลซึ่งในท้ายซีซัน 1 เรย์ได้เผยว่าเธอยังเก็บข้อมูลตัวตนของเคลคนรักของโคแวชเอาไว้ที่ใดที่หนึ่งที่เขาจะหาไม่พบ และความลับเบื้องหลังของโลกยุคใหม่เกี่ยวกับตัวตนของแสตกและการกำเนิดอารยธรรมอมตะขึ้นด้วย ซึ่งก็บอกตามตรงว่าคงน่าสนใจสำหรับแฟนที่ติดตามมาในซีซันแรกแล้วมาก ๆ ด้วยนั่นเอง แต่ใครที่คิดจะเริ่มดูจากซีซันที่ 2 ก่อนก็ต้องบอกว่าน่าจะงงกับสารพัดศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ในเรื่องแน่ ๆ ทางที่ดีไปดูซีซันแรกหรือหาอ่านคำอธิบายต่าง ๆ ก่อนจะดีกว่า
แสตก ชิปที่ฝังบริเวณท้ายทอยเปรียบเหมือนวิญญาณของมนุษย์ในอนาคต
เผชิญหน้าศัตรูที่ไม่เคยเอาชนะได้
ปัญหาใหญ่ในซีซันแรกนั้นถูกแก้ไขอย่างดี เส้นเรื่องชัดเจนขึ้น และเส้นรองก็มีไม่มากและไม่ดูโดดออกไปจนชวนสับสนนัก เรียกว่าดูย่อยง่ายขึ้นมาก จำนวน 8 ตอนก็ไม่ถูกว่าเยอะเกินไปเมื่อเทียบกับซีซันแรกที่มีถึง 10 ตอน ดูยาว ๆ รวดเดียว ก็แค่ประมาณ 5-6 ชั่วโมงก็จบแล้ว แต่ข้อเสียก็มีตรงเอกลักษณ์ความนัวร์แบบมีรสนิยมแบบในซีซันแรกหายไปหมดเหมือนกัน เราไม่เห็นความเรียบหรูและต่ำทรามอย่างชัดเจนในโลกอนาคตอีกแล้ว กลับดูเหมือนหนังไซไฟฝั่งตะวันตกแนว ๆ นี้เรื่องอื่น ๆ ที่มีทำออกมามากมาย ยังดีว่าซีรีส์ยังมีฐานเรื่อง แสตก เปลือก อะไร ๆ ที่ทำให้แกนกลางของเนื้อหาแตกต่างน่าสนใจอยู่บ้าง ทั้งการสวมจิตคนเดียวในสองเปลือกที่เป็นจุดเด่นในซีซันแรก การสอบสวนผ่านจิตในโลกเสมือน และเอไอที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ อย่าง โพ ที่เป็นคู่หูพระเอกมาจนถึงซีซันนี้
โคแวช ที่ต้องตื่นมาสะสางหนี้กรรมเก่า ๆ
โพ เอไอมากเสน่ห์
ในขณะที่ข้อเสียใหญ่ถูกแก้ไข ข้อดีในซีรีส์ซีซันแรกก็ถูกลดทอนลงด้วย อย่างแรกคือดีไซน์ โพรดักชันที่รสนิยมดูทื่อลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้าสู่ฮาร์แลนด์เวิลด์ไป ฉากต่าง ๆ ที่ผสมศิลป์สวย ๆ ลงไปกลายเป็นฉากที่ดูใช้กรีนสกรีนทื่อ ๆ ไปหมดราวกับลดต้นทุน การดีไซน์หน้าตาตัวละคร หรือเทคนิคการถ่ายให้ได้ภาพล้ำ ๆ แบบแปลก ๆ อย่างฟิชอาย 360 องศา หรือการทำสีแบบนีออนก็หายไปหมด เหลือแต่การถ่ายซีรีส์ตามมาตรฐานที่ไม่ได้เหลือเอกลักษณ์เท่ ๆ เอาไว้อีกต่อไป ความรุนแรงก็ลดลงฮวบ ๆ ภาพแหวะจะ ๆ คาตาหายไปหมด ฉากติดเรตทั้งหลายก็เหมือนโดนหั่นทิ้งไม่เหลือ อาจจะอยากให้เข้าถึงกลุ่มคนดูเด็ก ๆ มากขึ้นมั้ง แต่เอาตามจริงถ้าไม่ได้ดูซีซันแรกมาใครจะมาดูซีซันสองจนจบแล้วเข้าใจ คนที่ดูก็แฟนกลุ่มเดิมที่ชอบอะไรฮาร์ดคอร์อย่างซีซันแรกนั่นล่ะ นอกจากนี้อาจด้วยเพราะเปลี่ยนทีมผู้กำกับเซ็ตใหม่ยกเซ็ต และการเหลือทีมเขียนบทแค่ 2 คนจากเดิมที่มีช่วยกันคิดช่วยกันเขียนถึง 8 คนเลยทีเดียว
งบน่าจะน้อยลงล่ะ ดูแล้วงานสร้างดรอปลงมาก
ข้อต่อมาคือการเปลี่ยนนักแสดงแทบจะยกชุด โดยเฉพาะเมื่อการสวมเปลือกใหม่เปิดช่องให้เปลี่ยนพระเอกจาก โจเอล คินนาแมน ในซีซันแรกที่ดูบึกหล่อคมขรึมมีความลึกลับแบบเป็นธรรมชาติ กลายมาเป็น แอนโธนี แมคคี หรือ ฟาลคอน จากหนังมาร์เวล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าขาดความน่าเชื่อไปพอสมควร ทั้งนี้ไม่อาจโทษนักแสดงได้ว่าแสดงไม่ดีเพราะแมคคีก็แสดงได้ไม่ขี้ริ้วอะไรเลย แต่เมื่อเนื้อหาในซีซันนี้คือเขาต้องแสดงเป็น โคแวช ซึ่งผู้ชมติดตาตัวตนมาจากการแสดงของ คินนาแมน (และ วิล ยุนลี ในฉากแฟลชแบ็กร่างเดิมแต่กำเนิดของโคแวช) มาแล้ว ยิ่งเมื่อบทพยายามทำให้โคแวชในซีซันนี้หวั่นไหวง่ายและเจ้าอารมณ์เข้าไปอีก ทำให้เราแทบไม่เชื่อได้เลยว่า แมคคี คือโคแวชที่เรารู้จักมา ปัญหาใหญ่อีกอย่างที่อาจไม่ชัดมากแต่ก็ยังรู้สึกคือ ในบทซีซันนี้โคแวชจะได้รับการสวมเปลือกที่เป็นเกรดทหารคือสมรรถภาพดีกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด แต่การเข้าฉากแอ็กชันของแมคคีกลับดูไม่เฉียบคมนัก ยิ่งเมื่อเทียบชัด ๆ กับการแสดงของ วิล ยุนลี ที่มีพูดถึงในช่วงท้าย เรียกว่าดูไปภาวนาไปว่าโคแวชช่วยกลับไปสวมเปลือกของวิล ยุนลีที่เถอะ
แอนโธนี แมคคี
วิล ยุนลี
ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็เรียกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรมากเพราะถ้าตัวละครเก่าก็ยังได้นักแสดงเดิมมาเล่น อย่าง โพ เอไอที่ขโมยซีนได้ตลอดซีซันที่แสดงโดย คริส คอนเนอร์ มาในซีซันนี้เขาได้ถ่ายทอดอารมณ์มากขึ้นและน่าสงสารน่าหลงรักมากขึ้นด้วย นักแสดงอีกคนที่ได้กลับมารับบทเดิมก็คือ เรเน่ อีลิเซ โกลด์สเบอร์รี ที่มารับบท เคล ซึ่งก็สามารถถ่ายทอดบทบาทของคนที่มี 2 บุคลิกได้ดี แม้โดยรวมจะประเมินฝีมือการแสดงยากเพราะบทเธอไม่ค่อยมีฉากโชว์ของนักตั้งแต่ซีซันแรกแล้ว ส่วนตัวละครใหม่ก็ดีตามมาตรฐานที่ควรเป็นแต่ยังไม่มีโดดเด่นจนอยากหยิบมาพูดถึงนัก ถ้าจะเลือกสักคนก็ต้องขอเลือก ดิ๊ก 301 เอไอนักโบราณคดีที่มาช่วยสร้างสีสันให้เรื่องได้พอสมควร นักแสดงอย่าง ไดนา ชิฮาบิ ก็มีฉากที่ต้องโชว์การแสดงจากภายในที่น่าสนใจดี และยังมีโอกาสได้ไปต่อในฐานะคู่หูใหม่ของโพด้วยถ้ามีซีซันต่อไป
คริส คอนเนอร์ กับ ไดนา ชิฮาบิ
เรเน่ อีลิเซ โกลด์สเบอร์รี
สรุป สำหรับซีซันที่ 2 นี้เหมือนทำมาตอบโจทย์แฟนกลุ่มเดิมที่อยากรุ้ความเป็นไปต่อไปของโคแวชมากกว่า โดยยังได้ช่วยเฉลยที่มาของเทคโนโลยีหลายอย่างในเรื่องให้กระจ่างขึ้นด้วย แม้การเล่าเรื่องปริศนาซับซ้อนสนุก ๆ จะหายไป แต่ซีรีส์ก็ยังมีจุดหักมุมสนุก ๆ ให้ติดตามยันฉากสุดท้ายเลยทีเดียว ใครจะนึกล่ะว่าทีมงานจะกล้า…. (ไปดูเอง) และก็เปิดช่องให้มีภาคต่อได้สบาย ๆ ถ้าเน็ตฟลิกซ์ยังอยากทำน่ะนะ (แต่จบตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วยล่ะ) อย่างไรก็ดีก็เป็นอีกซีรีส์ที่มาตรฐานดีน่าดูครับ ถ้าซีซันแรกได้ 9/10 ซีซันนี้น่าจะราว ๆ 6.5/10 (แค่คะแนนเชิงเปรียบเทียบกับซีซันแรกนะครับ) altered carbon